โทรคมนาคม (Telecommunication) หมายถึงการสื่อสารระยะไกล โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางสัญญาณไฟฟ้า หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เนื่องจากเทคโนโลยีที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคำนี้ จึงมักใช้ในรูปพหูพจน์ เช่น Telecommunications
เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมในช่วงต้นประกอบด้วยสัญญาณภาพ เช่น ไฟสัญญาณ, สัญญาณควัน, โทรเลข, สัญญาณธงและ เครื่องส่งสัญญาณด้วยกระจกสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ตัวอย่างอื่นๆของการสื่อสารโทรคมนาคมก่อนช่วงที่ทันสมัยได่แก่ข้อความเสียงเช่นกลอง, แตรและนกหวีด เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมด้วยไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้าได้แก่โทรเลข, โทรศัพท์และ โทรพิมพ์, เครือข่าย, วิทยุ, เครื่องส่งไมโครเวฟ, ใยแก้วนำแสง, ดาวเทียมสื่อสารและอินเทอร์เน็ต
การปฏิวัติ ในการสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายเริ่มต้นขึ้นในปี 190X กับการเป็นผู้บุกเบิกพัฒนาใน การสื่อสารทางวิทยุโดย Guglielmo มาร์โคนี ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ในปี 1909 สำหรับความพยายามของเขา นักประดิษฐ์ผู้บุกเบิกและนักพัฒนาอื่นๆที่น่าทึ่งมากๆในด้านการ สื่อสารโทรคมนาคมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รวมถึง ชาร์ลส์ วีทสโตน และ ซามูเอล มอร์ส (โทรเลข) , Alexander Graham Bell (โทรศัพท์), เอ็ดวิน อาร์มสตรอง และลี เดอ ฟอเรสท์ (วิทยุ) เช่นเดียวกับที่ จอห์น โลจี แบร์ด และ Philo Farnsworth (โทรทัศน์)
กำลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพของโลกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมสองทางเพิ่มขึ้นจาก 281 เพตาไบต์ของข้อมูล (ที่ถูกบีบอัดอย่างดีที่สุด) ในปี 1986 เป็น 471 petabytes ในปี 1993 และ 2.2 (บีบอัดอย่างดีที่สุด ) เอ็กซาไบต์ ในปี 2000 และ 65 (บีบอัดอย่างดีที่สุด) exabytes ในปี 2007 นี่คือเทียบเท่าข้อมูลของสองหน้า หนังสือพิมพ์ต่อคนต่อวันในปี 1986 และ หกเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ต่อคนต่อวันในปี 2007 ด้วยการเจริญเติบโตขนาดนี้, การสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกประมาณ$ 4.7 ล้านล้านภาคเศรษฐกิจในปี 2012 รายได้จากการให้บริการของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกถูกประเมินไว้ที่ $1.5 ล้านล้านในปี 2010 สอดคล้องกับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (GDP)
ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications Systems) คือระบบที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์จำนวนหนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกันและถูกจัดไว้สำหรับการสื่อสารข้อมูลจากสถานที่แห่งหนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟฟิก เสียงสนทนา และวิดีทัศน์ได้ มีรายละเอียดของโครงสร้างส่วนประกอบดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือเปลี่ยนปริมาณใดให้เป็นไฟฟ้า (Transducer) เช่น โทรศัพท์ หรือไมโครโฟน
2. เครื่องเทอร์มินอลสำหรับการรับข้อมูลหรือแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์
3. อุปกรณ์ประมวลผลการสื่อสาร (Transmitter) ทำหน้าที่แปรรูปสัญญาณไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่องสัญญาณ เช่น โมเด็ม (MODEM) มัลติเพล็กเซอร์ (multiplexer) แอมพลิไฟเออร์ (Amplifier) ดำเนินการได้ทั้งรับและส่งข้อมูล
4. ช่องทางสื่อสาร (Transmission Channel) หมายถึงการเชื่อมต่อรูปแบบใดๆ เช่น สายโทรศัพท์ ใยแก้วนำแสง สายโคแอกเซียล หรือแม้แต่การสื่อสารแบบไร้สาย
5. ซอฟท์แวร์การสื่อสารซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมการรับส่งข้อมูลและอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร
หน้าที่ของระบบโทรคมนาคม
ทำหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร (Receiver) จะดำเนินการจัดการลำเลียงข้อมูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด จัดการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่จะส่งและรับเข้ามา สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ ในระบบโทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างชนิด ต่างยี่ห้อกัน แต่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้เพราะใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานชุดเดียวกัน กฎเกณฑ์มาตรฐานในการสื่อสารนี้เราเรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้โปรโตคอลอย่างเดียวกัน จึงจะสามารถสื่อสารถึงกันและกันได้ หน้าที่พื้นฐานของโปรโตคอล คือ การทำความรู้จักกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่อยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดข้อมูล การตกลงเงื่อนไขในการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การแก้ไขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผิดพลาดในขณะที่ส่งออกไปและการแก้ปัญหาการสื่อสารขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นโปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต เช่น Internet Protocal ; TCP/IP , IP Address ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ประเภทของสัญญาณ
- สัญญาณแอนะล็อก(analog signal) หมายถึงสัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป โดยการส่งสัญญาณแบบอนาล็อกจะถูกรบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่าย เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ เป็นต้น
- สัญญาณดิจิทัล(digital signal) หมายถึง สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง(Discrete Data) ที่มีขนาดแน่นอนซึ่งขนาดดังกล่าวอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คือ สัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด ซึ่งสัญญาณดิจิตอลนี้เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและติดต่อสื่อสารกัน
อนาล็อก กับ ดิจิตอล ต่างกันอย่างไร? อนาล็อก กับ ดิจิตอล มีความแตกต่างกันทางความต่อเนื่องของสัญญาณ และความแม่นยำของสัญญาณ

ตัวกลางหรือช่องทางการสื่อสาร
- ช่องสื่อสาร(communication channels) หมายถึง รูปแบบใดๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวหนึ่งในระบบเครือข่ายไปยังอุปกรณ์อีกตัวหนึ่ง
- สื่อต่างๆ ที่ใช้ได้แก่ สายคู่บิดเกลียว สายโคแอ็กเซียล สายใยแก้วนำแสง สัญญาณไมโครเวฟ สัญญาณผ่านดาวเทียม และสัญญาณไร้สายแบบต่างๆ
สื่อกลางประเภทใช้สาย
1.สายคู่บิดเกลียว เมื่อก่อนเป็นสายสัญญาณที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นมาตรฐานสายสัญญาณที่เชื่อมต่อในเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) สายคู่บิดเกลียวหนึ่งคู่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.016-0.035 นิ้ว หุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียวเป็นคู่ การบิดเป็นเกลียวของสายแต่ละคู่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนซึ่งกันและกัน
สายคู่เกลียวบิดที่มีขายในท้องตลาดมีหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งสายสัญญาณอาจประกอบด้วยสายคู่บิดเกลียวตั้งแต่หนึ่งคู่ไปจนถึง 600 คู่ในสายขนาดใหญ สายคู่บิดเกลียวที่ใช้กับเครือข่าย LAN จะประกอบด้วย 4 คู่ สายคู่บิดเกลียวที่ใช้ในเครือข่ายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
- STP (Shielded Twisted Pairs) หรือสายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน
- UTP (Unshielded Twisted Pairs) หรือสายคู่บิดเกลียวไม่หุ้มฉนวน

สายคู่บิดเกลียวแบบมีส่วนป้องกันสัญญาณรบกวน หรือ STP (Shielded Twisted Pairs) มีส่วนที่เพิ่มขึ้นมาคือ ส่วนที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก ซึ่งชั้นป้องกันนี้อาจเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ หรือใยโลหะที่ถักเปียเป็นตาข่าย ซึ่งชี้นป้องกันนี้จะห่อหุ้มสายคู่บิดเกลียวทั้งหมด ซึ่งจุดประสงค์ของการเพิ่มขั้นห่อหุ้มนี้เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลื่นวิทยุจากแหล่งต่างๆ
Unshielded Twisted Pairs (UTP)
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีส่วนป้องกันสัญญารรบกวนหรือ UTP (Unshielded Twisted Pairs) เป็นสายสัญญาณที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่าสาย UTP เป็นสายสัญญาณที่นิยมใช้กันมากที่สุดในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ซึ่งการใช้สายนี้ความยาวต้องไมเกิน 100 เมตร
2.สายโคแอ็กเซียล เป็นสายสัญญาณที่ใช้เป็นสื่อกลางการเดินทางของข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(computer network) เป็นสายสัญญาณประเภทแรกที่ใช้และเป็นที่นิยมมากในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัยแรกๆ แต่ในปัจจุบันเครือข่ายส่วนใหญ่จะใช้สายสัญญาณอีกประเภทหนึ่ง คือ สายคู่เกลียวบิดและสายใยแก้วนำแสง ส่วนสายโคแอ็กซ์เชียลถือว่าเป็นสายที่ล้าสมัยสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังมีระบบเครือข่ายบางประเภทที่ใช้สายแบบนี้อยู่
สายโคแอ็กซ์เชียลมักถูกเรียกสั้นๆว่า สายโคแอ็กซ์(coax) มีตัวนำไฟฟ้าอยู่สองส่วน คำว่า โคแอ็กซ์ คือ มีแกนร่วมกัน นั่นหมายความว่า ตัวนำไฟฟ้าทั้งสองตัวมีแกนร่วมกันนั่นเอง โครงสร้างของสายโคแอ็กซ์ประกอบไปด้วย สายทองแดงป็นแกนกลาง ห่อหุ้มด้วยวัสดุที่เป็นฉนวน ชั้นต่อมาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าอีกชั้นหนึ่ง เป็นแผ่นโลหะบางหรืออาจเป็นใยโลหะที่ถักเป็นเปียหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ชั้นสุดท้ายเป็นฉนวนหุ้มและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ
ส่วนที่เป็นแกนของสายทำหน้าที่นำสัญญาณข้อมูล ชั้นใยข่ายจะเป็นชั้นที่ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกและเป็นสายดินไปในตัว ดังนั้น ทั้งสองส่วนนี้จึงไม่ควรเชื่อมต่อกัน เนื่องจากจะทำให้ไฟช็อตได้

3.สายใยแก้วนำแสง เป็นตัวกลางของสัญญาณแสงชนิดหนึ่ง ที่ทำมาจากแก้วซึ่งมีความบริสุทธิ์สูงมาก เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะเป็นเส้นยาวขนาดเล็ก มีขนาดประมาณเส้นผมของมนุษย์เรา เส้นใยแก้วนำแสงที่ดีต้องสามารถนำสัญญาณแสงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ โดยมีการสูญเสียของสัญญาณแสงน้อยมาก

1.คลื่นวิทยุ (Radio Wave) วิธี การสื่อสารประเภทนี้จะใช้การส่งคลื่นไปในอากาศ เพื่อส่งไปยังเครื่องรับวิทยุโดยรวมกับคลื่นเสียงมีความถี่เสียงที่เป็นรูป แบบของคลื่นไฟฟ้า ดังนั้นการส่งวิทยุกระจายเสียงจึงไม่ต้องใช้สายส่งข้อมูล และยังสามารถส่งคลื่นสัญญาณไปได้ระยะไกล ซึ่งจะอยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 104 – 109 เฮิรตซ์ ดังนั้ัน เครื่องรับวิทยุจะต้องปรับช่องความถี่ให้กับ

2.สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave)เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟ ซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และจะต้องมีสถานีที่ทำหน้าที่ส่งและรับข้อมูล และเนื่องจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรง ไม่สามารถเลี้ยวหรือโค้งตามขอบโลกที่มีความโค้งได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับ – ส่งข้อมูลเป็นระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกันเป็นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานีจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตั้งอยู่ในที่สูง ซึ่งจะอยู่ในช่วงความถี่ 108 – 1012 เฮิรตซ์

3.แสงอินฟราเรด (Infrared)
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1011 – 1014 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่น 10-3 – 10-6 เมตร เรียกว่า รังสีอินฟราเรด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คลื่นความถี่สั้น (Millimeter waves)ซึ่งจะมีย่านความถี่คาบเกี่ยวกับย่านความถี่ของคลื่นไมโครเวฟอยู่บ้าง วัตถุร้อน จะแผ่รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา ประสาทสัมผัสทางผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรด ลำแสงอินฟราเรดเดินทางเป็นเส้นตรง ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสง และสามารถสะท้อนแสงในวัสดุผิวเรียบได้เหมือนกับแสงทั่วไปใช้มากในการสื่อสาร ระยะใกล้
4.ดาวเทียม (satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ – ส่งไมโครเวฟบนผิวโลก วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ – ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับ และส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้น จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่งอยู่กับที่ ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้ โดยอาศัยพลังงานที่ได้มาจากการเปลี่ยน พลังงานแสงอาทิตย์ ด้วย แผงโซลาร์ (solar panel)
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1011 – 1014 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่น 10-3 – 10-6 เมตร เรียกว่า รังสีอินฟราเรด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คลื่นความถี่สั้น (Millimeter waves)ซึ่งจะมีย่านความถี่คาบเกี่ยวกับย่านความถี่ของคลื่นไมโครเวฟอยู่บ้าง วัตถุร้อน จะแผ่รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา ประสาทสัมผัสทางผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรด ลำแสงอินฟราเรดเดินทางเป็นเส้นตรง ไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสง และสามารถสะท้อนแสงในวัสดุผิวเรียบได้เหมือนกับแสงทั่วไปใช้มากในการสื่อสาร ระยะใกล้
4.ดาวเทียม (satellite)
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับ – ส่งไมโครเวฟบนผิวโลก วัตถุประสงค์ในการสร้างดาวเทียมเพื่อเป็นสถานีรับ – ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับ และส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลก 22,300 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้น จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่งอยู่กับที่ ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณ จากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยำ ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้ โดยอาศัยพลังงานที่ได้มาจากการเปลี่ยน พลังงานแสงอาทิตย์ ด้วย แผงโซลาร์ (solar panel)

5.บลูทูธ (Bluetooth)
ระบบสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคแบบสองทาง ด้วยคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นจะต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด ซึ่งถือว่าเพิ่มความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนๆ และในการวิจัย ไม่ได้มุ่งเฉพาะการส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังศึกษาถึงการส่งข้อมูลที่เป็นเสียง เพื่อใช้สำหรับ Headset บนโทรศัพท์มือถือด้วยเทคโนโลยี บลูทูธ เป็นเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบไร้สายที่น่าจับตามองเป็นอย่าง ยิ่งในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องความสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจาก เทคโนโลยี บลูทูธ มีราคาถูก ใช้พลังงานน้อย และใช้เทคโนโลยี short – range ซึ่งในอนาคต จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนา เพื่อนำไปสู่การแทนที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้สาย เคเบิล เช่น Headset สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ฺิิิ เทคโนโลยีการเชื่อมโยงหรือการสื่อสารแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้น เป็นเทคโนโลยีของอินเตอร์เฟซทางคลื่นวิทยุ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสื่อสารระยะใกล้ที่ปลอดภัยผ่านช่องสัญญาณความถี่ 2.4 Ghz โดยที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดข้อจำกัดของการใช้สายเคเบิลในการเชื่อมโยงโดยมี ความเร็วในการเชื่อมโยงสูงสุดที่ 1 mbp ระยะครอบคลุม 10 เมตร เทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุของบลูทูธจะใช้การกระโดดเปลี่ยนความถี่ (Frequency hop) เพราะว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะที่จะใช้กับการส่งคลื่นวิทยุที่มีกำลังส่งต่ำและ ราคาถูก โดยจะแบ่งออกเป็นหลายช่องความถึ่ขนาดเล็ก ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนช่องความถึ่ที่ไม่แน่นอนทำให้สามารถหลีกหนีสัญญา นรบกวนที่เข้ามาแทรกแซงได้ ซึ่งอุปกรณ์ที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีบลูทูธ ต้องผ่านการทดสอบจาก Bluetooth SIG (Special Interest Group) เสียก่อนเพื่อยืนยันว่ามันสามารถที่จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์บลูทูธตัวอื่นๆ และอินเตอร์เน็ตได้
ระบบสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคแบบสองทาง ด้วยคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นจะต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด ซึ่งถือว่าเพิ่มความสะดวกมากกว่าการเชื่อมต่อแบบอินฟราเรด ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์มือถือ กับอุปกรณ์ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนๆ และในการวิจัย ไม่ได้มุ่งเฉพาะการส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังศึกษาถึงการส่งข้อมูลที่เป็นเสียง เพื่อใช้สำหรับ Headset บนโทรศัพท์มือถือด้วยเทคโนโลยี บลูทูธ เป็นเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบไร้สายที่น่าจับตามองเป็นอย่าง ยิ่งในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องความสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจาก เทคโนโลยี บลูทูธ มีราคาถูก ใช้พลังงานน้อย และใช้เทคโนโลยี short – range ซึ่งในอนาคต จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนา เพื่อนำไปสู่การแทนที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้สาย เคเบิล เช่น Headset สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ฺิิิ เทคโนโลยีการเชื่อมโยงหรือการสื่อสารแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้น เป็นเทคโนโลยีของอินเตอร์เฟซทางคลื่นวิทยุ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสื่อสารระยะใกล้ที่ปลอดภัยผ่านช่องสัญญาณความถี่ 2.4 Ghz โดยที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดข้อจำกัดของการใช้สายเคเบิลในการเชื่อมโยงโดยมี ความเร็วในการเชื่อมโยงสูงสุดที่ 1 mbp ระยะครอบคลุม 10 เมตร เทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุของบลูทูธจะใช้การกระโดดเปลี่ยนความถี่ (Frequency hop) เพราะว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะที่จะใช้กับการส่งคลื่นวิทยุที่มีกำลังส่งต่ำและ ราคาถูก โดยจะแบ่งออกเป็นหลายช่องความถึ่ขนาดเล็ก ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนช่องความถึ่ที่ไม่แน่นอนทำให้สามารถหลีกหนีสัญญา นรบกวนที่เข้ามาแทรกแซงได้ ซึ่งอุปกรณ์ที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีบลูทูธ ต้องผ่านการทดสอบจาก Bluetooth SIG (Special Interest Group) เสียก่อนเพื่อยืนยันว่ามันสามารถที่จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์บลูทูธตัวอื่นๆ และอินเตอร์เน็ตได้

คลื่นวิทยุที่ส่งมา ทำให้สามารถรับข้อมูลได้อย่างชัดเจนความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูล
- ปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านช่องสื่อสารใดๆ มีหน่วยวัดเป็น บิตต่อวินาที(bits per second : bps)
- ช่วงคลื่นสัญญาณที่รวมกันอยู่ในช่องสื่อสารหนึ่งช่อง เรียกว่า ความกว้างของช่องสื่อสาร(bandwidth) ช่วงคลื่นที่กว้างมากหมายถึงช่องสัญญาณที่กว้างมาก สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- มัลติเพล็กเซอร์เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การใช้สื่อหรือช่องสื่อสารขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Topology หมายถึง โครงสร้างของเครือข่ายการนำคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารรูปแบบการจัดวางคอมพิวเตอร์ การเดินสายสัญญาญคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายสามารถทำได้หลายรูปแบบ
การเลือกโครงสร้างการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือเรียกว่า"โทโปโลยี (Topology)"ลักษณะการใช้งานของเครือข่าย สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
- ระบบเครือข่ายดาว (Star Topology) มีอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายคือ "ฮับ (Hub)" เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเชื่อมต่อสายสัญญาณเข้าไปยังฮับ เป็นแบบการกระจาย ถ้าหากจะส่งข้อมูล ข้อมูลจะต้องผ่านฮับก่อน ฮับจะทำหน้าที่กระจายข้อมูลไปยังเครื่องปลายทาง
ข้อดีคือ จัดการระบบง่าย , จับหาข้อผิดพลาดง่าย , เครือข่ายคงทนสูง
ข้อเสียคือ สิ้นเปลืองสัญญาณ , ต้องมีการจำกัดจำนวนคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาเชื่อมต่อ.

มีการเชื่อมต่อแบบเส้นตรง เชื่อมต่อง่ายและไม่ซับซ้อน โดยจะใช้สายสัญญาณเส้นเดียวในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่าย
ข้อดีคือ เชื่อมต่อง่าย ไม่ซับซ้อน , ประหยัดสายสัญญาณ , เพิ่มเติมปริมาณเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ง่าย
ข้อเสียคือ เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สัญญาณเดียว เมื่อสายสัญญาณเสียหายจุดใดจุดหนึ่งจะส่งผลให้เครือข่ายจะไม่ทำงานได้ทันที , หาข้อผิดพลาดในการชำรุดได้ยาก

การส่งต่อข้อมูล เมื่อการส่งข้อมูลเรียบร้อย จะแจ้งไปยังเครื่องอื่นๆ ว่าสายสัญญาณว่าง เพื่อให้เครื่องอื่นทำการส่งข้อมูลต่อไป
ข้อดีคือ ประหยัดสายสัญญาณ , ทำการติดตั้งในเครือข่ายสามารถทำได้ง่าย , การส่งข้อมูลมีผลเท่าเทียมกัน
ข้อเสียคือ ถ้าสายสัญญาณช่วงใดช่วงหนึ่งเสียหายจะทำให้ระบบเครือข่ายทั้งหมดไม่สามารถทำงานได้ทันที ,การตรวจสอบเมื่อเกิดความผิดพลาดทำได้ยาก

ข้อดีคือ ถ้าสายสัญญาณเกิดความเสียหายก็ไม่ส่งผลต่อการส่งข้อมูลเพราะมีเส้นสำรองเพื่อส่งข้อมูล ,
เกิดความรวดเร็วในการส่งข้อมูล เนื่องจากเดินทางได้หลายทาง
ข้อเสียคือ ทำให้สิ้นเปลืองสายสัญญาณมาก , มีความซับซ้อนในการเชื่อมต่อเครือข่าย.

เครือข่ายขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า "ไฮบริดจ์" เป็นการนำโครงสร้างเครือข่ายหลายรูปแบบมารวมกัน

PBX - LAN - WAN
- PBX(Private Branch Exchange) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับจัดการบริหารการเชื่อมต่อวงจรโทรศัพท์จากสายนอกเข้ากับสายโทรศัพท์ภายในองค์กรอย่างอัตโนมัติ


- ระบบเครือข่ายบริเวณกว้าง(Wide Area Network:WAN) เป็นระบบที่มีขอบเขตการใช้งานกว้างขวางมาก เช่นการเชื่อมต่อระบบระหว่างสาขาของธนาคาร เป็นต้น

การสื่อสารแบบแอนะล็อกและแบบดิจิทัล
สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารสามารถเป็นได้ทั้งแอนะล็อกหรือดิจิทัล สำหรับสัญญาณแอนะล็อกสัญญาณจะแปรอย่างต่อเนื่องไปตามข้อมูล ในสัญญาณดิจิทัลข้อมูลจะถูกเข้ารหัสเป็นชุดของค่าที่ไม่ต่อเนื่อง (เช่นชุดของหนึ่งและศูนย์) ในระหว่างที่สัญญาณของข้อมูลถูกส่งออกไปและรับเข้ามา ข้อมูลที่มีอยู่ในสัญญาณแอนะล็อกหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกลดสภาพลงเนื่องจากการรบกวนทางกายภาพที่ไม่พึงประสงค์ (สัญญาณที่ถูกส่งออกจากเครื่องส่งในทางปฏิบัติจะไม่มีเสียงรบกวน) ปกติแล้วเสียงรบกวนในระบบการสื่อสารสามารถเป็นได้ทั้งเพิ่มเข้าหรือลบออกจากสัญญาณที่พึงประสงค์ในการสุ่มที่สมบูรณ์ รูปแบบของเสียงรบกวนนี้จะเรียกว่าเสียงเติมแต่งด้วยความเข้าใจว่าเสียงรบกวนจะเป็นลบหรือบวกแล้วแต่จังหวะที่แตกต่างกันของเวลา
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเสียงรบกวนเติมแต่งมีไม่เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ข้อมูลที่มีอยู่ในสัญญาณดิจิทัลจะยังคงเหมือนเดิม ความต้านทานในเสียงรบกวนของระบบดิจิทัล ทำให้เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของสัญญาณดิจิทัลเหนือกว่าสัญญาณแอนะล็อก.
เครือข่ายโทรคมนาคม
เครือข่ายการสื่อสารประกอบด้วยเครื่องส่งสัญญาณ, เครื่องรับและช่องทางที่ใช้ส่งข้อความ บางเครือข่ายการสื่อสารมีมากกว่าหนึ่งเราต์เตอร์(route=ทาง, router=ตัวส่ง, ตัวสร้างทาง)ที่ทำงานร่วมกันในการส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้ที่ถูกต้อง นอกจากเราเตอร์แล้ว ยังมีสวิตช์ เพื่อใช้ต่อผู้ใช้หลายตัวเข้าด้วยกันด้วย
เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่ง
ต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง
ตัวอย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบวิทยุกระจายเสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดที่
ต้นทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือ
ในกรณีระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือ Data Terminal ประเภทต่าง ๆ
ทำหน้าที่ในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทาง
เช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนเสียงพูด ให้เป็น
สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทาง
สำหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมใน
การเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม
ในการผ่านระบบสื่อสัญญาณไปยังปลายทาง


เครื่องส่งได้เปลี่ยน หรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ปลายทาง
ดังนั้นระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับเป็นส่วนที่สำคัญและจำเป็นมากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม
เครื่องรับสัญญาณ เป็นส่วนที่ทำการเปลี่ยนสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูก
ส่งผ่านระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสาร
ที่ถูกส่งมาจากต้นทาง ทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลง หรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้า
นั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้
สำหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการ
เปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ข้อมูลในรูปแบบที่ถูกต้อง และ
เหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอุปกรณ์บางชนิด เช่น MODEM อาจ
เป็นได้ทั้งอุปกรณ์ในการส่ง และรับสัญญาณ ในอุปกรณ์ชนิดเดียวกัน
ผู้รับสัญญาณ เป็นส่วนสุดท้ายในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูล
ข่าวสารที่ส่งมาจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกันก็ได้
เช่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

องค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีโทรคมนาคม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบที่สำคัญ
- ต้นกำเนิดข่าวสาร (Source of Information)
เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่ง
ต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง
ตัวอย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบวิทยุกระจายเสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดที่
ต้นทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือ
ในกรณีระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือ Data Terminal ประเภทต่าง ๆ

- เครื่องส่งสัญญาณ (Transmitter)
ทำหน้าที่ในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทาง
เช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนเสียงพูด ให้เป็น
สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทาง
สำหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมใน
การเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์เพื่อให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม
ในการผ่านระบบสื่อสัญญาณไปยังปลายทาง


- ระบบการส่งผ่านสัญญาณ (Transmission System)
เครื่องส่งได้เปลี่ยน หรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ปลายทาง
ดังนั้นระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับเป็นส่วนที่สำคัญและจำเป็นมากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม

- เครื่องรับสัญญาณ (Receiver)
เครื่องรับสัญญาณ เป็นส่วนที่ทำการเปลี่ยนสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูก
ส่งผ่านระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสาร
ที่ถูกส่งมาจากต้นทาง ทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลง หรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้า
นั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้
สำหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการ
เปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ข้อมูลในรูปแบบที่ถูกต้อง และ
เหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นอุปกรณ์บางชนิด เช่น MODEM อาจ
เป็นได้ทั้งอุปกรณ์ในการส่ง และรับสัญญาณ ในอุปกรณ์ชนิดเดียวกัน
![aircard_750[1].jpg aircard_750[1].jpg](https://jhanu.wikispaces.com/file/view/aircard_750%5B1%5D.jpg/353284558/249x248/aircard_750%5B1%5D.jpg)
- ผู้รับสัญญาณ (Destination)
ผู้รับสัญญาณ เป็นส่วนสุดท้ายในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูล
ข่าวสารที่ส่งมาจากต้นกำเนิดข่าวสาร
ดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกันก็ได้
เช่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

อุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย
โทรศัพท์อัจฉริยะ
โทรศัพท์มือถือมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในเครือข่ายโทรศัพท์ สมาชิกโทรศัพท์มือถือในขณะนี้มีจำนวนมากกว่าสมาชิกพื้นฐานอยู่กับที่ในหลายตลาด ยอดขายของโทรศัพท์มือถือในปี 2012 รวม 1,495 ล้านเครื่อง โดยแบ่งเป็นประเทศในแอฟริกา 56 ล้าน, เอเซีย/แปซิฟิก 652 ล้าน, ทวีปอเมริกา 358 ล้าน และยุโรป 366 ล้าน โทรศัพท์เหล่านี้จะได้รับการบริการโดยระบบเสียงที่มีเนื้อหาและมีการส่งแบบดิจิทัล เช่น GSM หรือ W- CDMA ที่มีการตลาดจำนวนมากเลือกที่จะลดลงของระบบอนาล็อก เช่น AMPS
การใช้โทรศัพท์เพื่อการสนทนาเพียงอย่างเดียวผ่านโทรศัพท์พื้นฐานจะจำนวนผู้ใช้ลดลง โดยการใช้สำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะใช้แอปพลิเคชันต่อไปนี้มากขึ้น
- SMS
- Voice over IP
- โทรศัพท์มือถือ 3G, 4G หรือ LTE
- LINE
- Tango เป็นแอปพลิเคชันซอฟแวร์ที่ใช้ในการส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์มสำหรับสมาร์ทโฟน ที่ให้บริการพูดคุยแบบเห็นภาพผู้ใช้ทั้งสองด้านผ่านทางเครือข่าย 3G, 4G และ Wi-Fi

วิทยุและโทรทัศน์
ในการแพร่ภาพโทรทัศน์ระบบดิจิทัล มีสามมาตรฐานที่ มีแนวโน้มที่จะถูกนำมาใช้ในการแข่งขัน ทั่วโลก ได้แก่มาตรฐาน ATSC , DVB และ ISDB; ทั้งสามมาตรฐาน ใช้ MPEG -2 สำหรับการบีบอัดภาพวิดีโอ, ATSC ใช้ Dolby Digital AC- 3 สำหรับการบีบอัดเสียง, ISDB ใช้ การเข้ารหัสเสียงขั้นสูง ( MPEG-2 ส่วนที่ 7 ) และ DVB ไม่มีมาตรฐานสำหรับการบีบอัดเสียง แต่ทั่วไปมักจะใช้ MPEG - 1 ส่วนที่ 3 Layer 2. ทางเลือกของการมอดูเลชั่นยังแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ในการกระจายเสียงระบบดิจิตอล มาตรฐานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก แทบทุกประเทศเลือกที่จะพัฒนามาตรฐาน Digital Audio Broadcasting (รู้จักกันดีว่าคือมาตรฐาน ยูเรก้า 147) ยกเว้นประเทศสหรัฐอเมริกาที่เลือกที่จะพัฒนาวิทยุ HD ซึ่งแตกต่างจาก ยูเรก้า 147, ที่ขึ้นอยู่กับวิธีการส่งที่เรียกว่าการส่งแบบ in-band on-channel ที่ยอมให้ ข้อมูลดิจิทัล " ขี่หลัง " ไปบนสัญญาณแอนะล็อก AM หรือ FM ปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในระหว่างเปลี่ยนผ่านไปเป็นดิจิทัล, โทรทัศน์แบบแอนะล็อกยังคงได้รับการถ่ายทอดในประเทศส่วนใหญ่ ข้อยกเว้นคือสหรัฐอเมริกา ที่สิ้นสุดการส่งโทรทัศน์แอนะล็อก (ทั้งหมด แต่ไม่รวมสถานีโทรทัศน์พลังงานต่ำมากๆ) ตั้งแต 12 มิถุนายน 2009 หลังจากที่ต้อง ล่าช้าจากเส้นตายถึงสองครั้ง สำหรับโทรทัศน์แบบแอนะล็อก มีสามมาตรฐานในการการแพร่ภาพโทรทัศน์สี ที่รู้จักกันดีได้แก่ PAL (เยอรมันออกแบบ), NTSC (อเมริกาเหนือออกแบบ) และ SECAM (ฝรั่งเศสออกแบบ) (ไม่เกี่ยวกับมันมาตรฐานทีวี ขาวดำ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ.) สำหรับวิทยุแอนะล็อก การเปลี่ยนเป็นดิจิทัลทำได้ยากกว่าโดยความจริงที่ว่า เครื่องรับแอนะล็อกจะขายในราคาเศษเสี้ยวของราคาเครื่องรับดิจิตอล. ทางเลือกของการมอดูเลชั่นของวิทยุแอนะล็อกปกติจะเป็นระหว่าง AM หรือ FM เท่านั้น. เพื่อให้บรรลุการเล่นสเตอริโอ subcarrier ของ AM ถูกนำมาใช้สำหรับ FM สเตอริโอ
ปัจจุบัน โทรทัศน์ความละเอียดสูงได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
อุตสาหกรรมสื่อออกอากาศถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการพัฒนาของตัวมันเอง หลายประเทศกำลังเปลี่ยนการออกอากาศจากแอนะล็อกมาเป็นดิจิทัล ซึ่งทำได้โดยการผลิตวงจรรวมที่ราคาถูกกว่าเดิม ได้ความเร็วและมีความสามารถที่มากขึ้น ข้อได้เปรียบที่สำคัญของการออกอากาศ แบบดิจิตอลก็คือการหลีกเลี่ยงการร้องเรียนเป็นประจำในการออกอากาศแบบแอนะล็อก ซึ่งได้แก่ปัญหาที่ภาพเต็มไปด้วยหิมะ และเงาสะท้อนเหมือนผีและภาพเพี้ยนอื่น ๆ เหล่านี้อันเกิดขึ้นจากการรบกวนในสัญญาณภาพแอนะล็อก การส่งการจายคลื่นด้วยดิจิทัลจะสามารถเอาชนะปัญหานี้ เพราะสัญญาณดิจิทัลจะลดลงเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่องเมื่อเกิดการรบกวน และด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ ขนาดเล็กๆจะไม่ส่งผลกระทบต่อสัญญาณสุดท้าย ตัวอย่างเช่นถ้าข้อความเป็น ไบนารี 1011 ถูกส่งด้วยสัญญาณ แอมพลิจูด [ 1.0 0.0 1.0 1.0 ] และได้รับ สัญญาณที่มี แอมพลิจูด [ 0.9 0.2 1.1 0.9 ] ก็ยังคงถูกถอดรหัสได้ข้อความ ไบนารี 1011 เหมือนกับที่มันถูกส่งมา จากตัวอย่างนี้ ปัญหาที่เกิดกับการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลยังสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าการรบกวนมีมากพออย่างมีนัยสำคัญ ก็สามารถปรับเปลี่ยนข้อความหลังถอดรหัสออกมาแล้วได้ ด้วยการแก้ไขข้อผิดพลาดล่วงหน้า เครื่องรับสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของบิตของข้อความที่ถูกส่งมาได้ แต่การรบกวนที่มากเกินไป จะทำให้สัญญาณที่ส่งออกไปผิดเพี้ยนไปมาก ซึ่งหมายถึงความล้มเหลวของการส่งการจายคลื่น
อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายทั่วโลกของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่สามารถสื่อสารกันด้วยอินเทอร์เน็ตโพรโทคอล คอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ตใด ๆ จะมี IP address ไม่ซ้ำกันที่จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ สามารถหาเส้นทางไปถึงได้ เครื่องที่ส่งจะมี IP address ของผู้ส่ง และ IP address ของผู้รับ ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึงเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน
คาดกันว่า 51% ของข้อมูลที่ไหลผ่านเครือข่ายโทรคมนาคมสองทางในปี 2000 มีการไหล ผ่านทางอินเทอร์เน็ต (ส่วนที่เหลือ(42%)โดยผ่านทางโทรศัพท์พื้นฐาน) โดยในปี 2007 อินเทอร์เน็ตครอบงำอย่างชัดเจนโดย 97% ของข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม (ส่วนที่เหลือ(2 %) ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ) ขณะที่ในปี 2013 ประมาณ 39 % ของประชากรโลกที่มีการเข้าถึงกับอินเทอร์เน็ตที่มีอัตราการเข้าถึง สูงสุด(วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของประชากร) ในทวีปอเมริกา (61%), เอเซียแปซิฟิก (32%) และยุโรป (75%)[33] ในแง่ของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วย landline ในปี 2012, ลิคเทนสไตน์ (80,4%) โมนาโค (45.5%) และ สวิสเซอร์แลนด์ ( 41.9%) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยโทรศัพท์มือถือ สิงคโปร์ (123.3%), ญี่ปุ่น (113.1%), ฟินแลนด์ (106.5%), เกาหลีใต้ (106%)
อินเทอร์เน็ตทำงานได้ด้วยโปรโทคอลที่ควบคุมวิธีการที่เครื่องคอมพิวเตอร์และเราเตอร์ทั้งหลายสื่อสารกันและกัน ธรรมชาติของการสื่อสารเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใช้วิธีการแบ่งเป็นชั้นของโพรโทคอล ในแต่ละโพรโทคอลจะทำงานมากขึ้นหรือน้อยลงเป็นอิสระจากโพรโทคอลอื่น ๆ การนี้จะช่วยให้โพรโทคอลระดับต่ำกว่าจะได้รับการปรับแต่งสำหรับสถานการณ์เครือข่ายในขณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีที่ระดับโพรโทคอลที่สูงกว่าทำงาน ตัวอย่างในทางปฏิบัติว่าทำไมสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันยอมให้อินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ที่จะเรียกใช้ รหัสเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานจะมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านอีเทอร์เน็ตหรือเชื่อมต่อกับ Wi-Fi อยู่ โพรโทคอลมักจะถูกพูดถึงในแง่ของ ตำแหน่งของมันในรูปแบบอ้างอิงกับ OSI (ภาพด้านขวา) ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1983 เป็นขั้นตอนแรกในความพยายามที่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างชุดโพรโทคอลเครือข่ายที่จะนำมาใช้ อย่างกว้างขวาง
สำหรับอินเทอร์เน็ต โพรโทคอลสื่อทางกายภาพและการเชื่อมโยงข้อมูลสามารถแปรผันกัน หลายครั้งในรูปของแพ็กเก็ตที่เดินทางไปรอบโลก นี่เป็นเพราะว่าอินเทอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัด ในสื่อทางกายภาพหรือโปรโทคอลในการเชื่อมโยงข้อมูลที่จะถูกนำมาใช้ สิ่งนี้นำไปสู่การพัฒนาของสื่อและโพรโทคอลที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์เครือข่ายท้องถิ่น ในทางปฏิบัติ การติดต่อสื่อสารระหว่างทวีปส่วนใหญ่จะใช้ Asynchronous Transfer Mode (ATM ) โพรโทคอล (หรือที่ทันสมัยเทียบเท่า) บนใยแก้วนำแสง นี้เป็นเพราะการสื่อสารระหว่างทวีปส่วนใหญ่ อินเทอร์เน็ตจะใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันกับเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน หรือ PSTN
ที่เลเยอร์เครือข่าย หลายอย่างกลายเป็นมาตรฐานที่ Internet Protocol (IP) ถูกนำมาใช้สำหรับการหาที่อยู่แฝง( logical addressing) สำหรับเวิลด์ไวด์เว็บ "ที่อยู่ IP" จะสามารถหาได้จากรูปแบบที่มนุษย์สามารถอ่านได้โดยการใช้ระบบชื่อโดเมน( domain name system) (เช่น 72.14.207.99 ได้มาจาก www.google.com ) ในปัจจุบัน รุ่นของอินเทอร์เน็ตโพรโทคอลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจากรุ่นที่สี่ไปเป็นรุ่นที่หก
ที่เลเยอร์การขนส่ง การสื่อสารส่วนใหญ่จะใช้โพรโทคอลแบบ Transmission Control Protocol (TCP) หรือ User Datagram Protocol (UDP) อย่างใดอย่างหนึ่ง TCP จะใช้เมื่อ มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกๆข้อความที่ส่งจะต้องไปถึงคอมพิวเตอร์ปลายทาง ในขณะที่ UDP เป็นเพียงน่าพอใจที่จะนำมาใช้ ด้วย TCP, แพ็กเก็ตจะถูกส่งใหม่หากพวกมันสูญหายไปและจะถูกจัดลำดับก่อนหลังก่อนที่จะถูกนำเสนอให้กับชั้นที่สูงกว่า ด้วย UDP, แพ็คเก็ตจะไม่ได้เรียงลำดับก่อนหลังหรือหากเกิดการสูญหายก็จะไม่มีการส่งไปให้ใหม่ ทั้ง TCP และ UDP แพ็คเก็ตจะพกพาหมายเลขพอร์ตไปด้วยเพื่อระบุแอปพลิเคชันหรือกระบวนการในการประมวลผลที่ แพ็คเก็ตนั้นควรจะได้รับการจัดการ[38] เพราะ โพรโทคอลในระดับโปรแกรมประยุกต์บางโปรแกรมจะใช้พอร์ตบางพอร์ต ผู้บริหารเครือข่าย สามารถจัดการจราจรเพื่อให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะอย่าง ตัวอย่างเช่นเพื่อจำกัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จะทำโดยการปิดกั้นการจราจรที่มีทิศทางสำหรับพอร์ตเฉพาะพอร์ตหนึ่งหรือเพื่อที่จะให้เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้งานบางอย่าง จะทำโดยการกำหนด ลำดับความสำคัญของงาน
เหนือเลเยอร์ของการขนส่ง มีโพรโทคอลบางอย่างที่บางครั้งถูกใช้และเข้ากันได้อย่างหลวมๆในเลเยอร์เซสชั่นและเลเยอร์ presentation ที่สะดุดตาที่สุดคือโพรโทคอล Secure Sockets Layer (SSL) และ Transport Layer Security (TLS ) โพรโทคอลเหล่านี้ให้ความแน่ใจว่า ข้อมูลที่ถ่ายโอนระหว่างสองฝ่ายยังคงเป็นความลับอย่างสมบูรณ์[39] ในที่สุด ที่ชั้น application ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากจะคุ้นเคยกับโพรโทคอลเช่น HTTP (การท่องเว็บ), POP3 (e-mail), FTP (การถ่ายโอนไฟล์) IRC (พูดคุย), BitTorrent (แชร์ไฟล์) และ XMPP (การส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที)
Voice over Internet Protocol (VoIP) ช่วยให้แพ็คเก็ตข้อมูลถูกนำไปใช้สำหรับการสื่อสารด้วยเสียงประสานสองทาง แพ็คเก็ตข้อมูลจะถูกกำหนดให้เป็นประเภทเสียงและสามารถถูก จัดลำดับความสำคัญโดยผู้บริหารเครือข่ายเพื่อให้เป็นเวลาจริง การสนทนาที่ประสานกันจะมีการขัดแย้งน้อยกับการจราจรของข้อมูลประเภทอื่นที่สามารถเลื่อนออกไปได้ (เช่นการถ่ายโอนไฟล์หรืออีเมล) หรือบัฟเฟอร์ล่วงหน้าได้ (เช่นเสียงและวิดีโอ) โดยไม่ได้เสียหาย การจัดลำดับความสำคัญแบบนั้นจะดีเมื่อเครือข่ายมีความจุเพียงพอสำหรับทุกการโทร VoIP ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันและเครือข่ายมีการเปิดใช้งานสำหรับจัดลำดับความสำคัญ เช่น เครือข่าย รูปแบบขององค์กรภาคเอกชน แต่อินเทอร์เน็ตไม่ได้รับการจัดการโดยทั่วไปในทางนี้และเพื่อให้มีความแตกต่างในคุณภาพของการโทรผ่าน VoIP ที่เหนือกว่าเครือข่ายส่วนตัวและเหนือกว่าอินเทอร์เน็ตสาธารณะ
แหล่งที่มา
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1
https://www.gotoknow.org/posts/282028
https://sites.google.com/site/41127yanotai/khatham/khorngsrang-kherux-khay-khxmphiwtexr
https://jhanu.wikispaces.com/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5
http://www.888networkandsales.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html
http://www.bansoengsang.com/articles/405860/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html
https://sites.google.com/site/41127yanotai/khatham/khorngsrang-kherux-khay-khxmphiwtexr
https://jhanu.wikispaces.com/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5
http://www.888networkandsales.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html
http://www.bansoengsang.com/articles/405860/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html















/2.10-2-57(500).jpg)
/2.11-2-57(500).jpg)
/2.12-2-57(500).jpg)
/2.13-2-57(500).jpg)